ให้แต่ละกลุ่มสรุปเนื้อหาของ Smart Factory ว่าคืออะไร และทำไม Smart Factory จะเปลี่ยนการทำงานของโรงงานต่าง ๆ ในประเทศไทยไปอย่างไร 

สรุปเนื้อหา และตอบลงในเว็บของรายวิชา

Deadline: 22 April 2025

Categories:

Tags:

5 Responses

  1. ความหมายของ Smart Factory Smart Factory หรือ “โรงงานอัจฉริยะ” คือรูปแบบของโรงงานอุตสาหกรรมที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูงมาใช้ในการบริหารจัดการและดำเนินการผลิต โดยเน้นการเชื่อมโยงระบบทั้งหมดเข้าด้วยกันแบบอัตโนมัติ (Automation) และสามารถวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่านเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น Internet of Things (IoT), ปัญญาประดิษฐ์ (AI), หุ่นยนต์อุตสาหกรรม, Big Data, Cloud Computing และระบบ Cyber-Physical Systems (CPS)
    เป้าหมายหลักของ Smart Factory คือการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน ลดของเสีย เพิ่มความยืดหยุ่น และตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
    องค์ประกอบสำคัญของ Smart Factory
    1. การเชื่อมต่อแบบเรียลไทม์ – เครื่องจักร อุปกรณ์ และระบบต่าง ๆ เชื่อมต่อกันผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือเซนเซอร์ ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลและควบคุมจากระยะไกลได้
    2. ระบบวิเคราะห์ข้อมูล (Analytics) – ข้อมูลที่ถูกรวบรวมจากสายการผลิตจะถูกวิเคราะห์โดยซอฟต์แวร์อัจฉริยะ เพื่อคาดการณ์ปัญหา ปรับปรุงกระบวนการ และเพิ่มประสิทธิภาพ
    3. ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ – ลดการพึ่งพาแรงงานคนในงานที่มีความเสี่ยงหรืองานที่ทำซ้ำ ๆ โดยหุ่นยนต์สามารถทำงานได้ตลอดเวลาอย่างแม่นยำ
    4. ระบบควบคุมแบบอัตโนมัติ (Autonomous Control) – กระบวนการผลิตสามารถตัดสินใจและปรับเปลี่ยนการทำงานได้เองโดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์ตลอดเวลา
    ผลกระทบของ Smart Factory ต่อโรงงานในประเทศไทย
    การเปลี่ยนไปสู่ Smart Factory จะส่งผลกระทบต่อหลายด้านของภาคอุตสาหกรรมไทย ดังนี้:
    1. เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
    ในยุคที่ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงเร็ว โรงงานที่มีความยืดหยุ่นและตอบสนองได้ไวย่อมได้เปรียบ Smart Factory จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันกับต่างชาติได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเวที ASEAN และตลาดโลก
    2. ลดต้นทุนในระยะยาว
    แม้ว่าการลงทุนในเทคโนโลยีจะสูงในช่วงแรก แต่การประหยัดต้นทุนแรงงาน ลดของเสีย และลดเวลาหยุดการผลิตจะส่งผลให้ต้นทุนโดยรวมลดลงอย่างมีนัยสำคัญในระยะยาว
    3. เปลี่ยนบทบาทของแรงงาน
    จากแรงงานที่เคยทำงานเชิงกายภาพ จะถูกเปลี่ยนเป็นแรงงานที่มีทักษะในการควบคุม วิเคราะห์ และบำรุงรักษาระบบอัตโนมัติ ทำให้เกิดความต้องการแรงงานที่มีทักษะสูงมากขึ้น
    4. ส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน
    Smart Factory สามารถตรวจสอบการใช้พลังงาน การปล่อยของเสีย และทรัพยากรที่ใช้ในกระบวนการผลิตได้อย่างแม่นยำ ซึ่งช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมแนวทางการผลิตที่ยั่งยืน
    5. กระตุ้นนโยบายภาครัฐ
    รัฐบาลไทย โดยเฉพาะภายใต้นโยบาย Thailand 4.0 ได้ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านไปสู่ Smart Factory เพื่อยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจและพัฒนาอุตสาหกรรมไปสู่การใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
    สรุป
    Smart Factory ไม่ใช่แค่การปรับปรุงเทคโนโลยีภายในโรงงาน แต่คือการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของภาคการผลิตไทยอย่างแท้จริง ทั้งในแง่ของประสิทธิภาพ ความยั่งยืน และการพัฒนาแรงงาน หากภาคอุตสาหกรรมไทยสามารถปรับตัวได้ทัน จะเป็นการเปิดประตูสู่อนาคตที่แข่งขันได้ในระดับสากล และวางรากฐานทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคงในระยะยาว

  2. 1. Smart Factory คืออะไร
    ตอบ Smart Factory คือแนวคิดของการพัฒนาโรงงานให้มีความอัจฉริยะ โดยการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น อินเทอร์เน็ตในทุกสรรพสิ่ง (IoT), ปัญญาประดิษฐ์ (AI), ระบบวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics) และระบบอัตโนมัติ (Automation) เข้ามาเชื่อมโยงทุกกระบวนการผลิตเข้าด้วยกันแบบเรียลไทม์ โรงงานอัจฉริยะจะสามารถสื่อสาร แลกเปลี่ยน และวิเคราะห์ข้อมูลจากเครื่องจักร อุปกรณ์ และระบบต่าง ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ช่วยให้โรงงานสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว ปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิตได้สูงสุด จุดเด่นของ Smart Factory คือความสามารถในการดำเนินการผลิตแบบยืดหยุ่น (Flexible Manufacturing) และสามารถวิเคราะห์ปัญหาได้ทันทีโดยไม่ต้องรอการตรวจสอบจากมนุษย์

    2.ทำไม Smart Factory จะเปลี่ยนการทำงานของโรงงานในประเทศไทย?
    ตอบ 1) โรงงานในประเทศไทยจะมีประสิทธิภาพการผลิตที่สูงขึ้น จากการนำระบบอัตโนมัติและ AI เข้ามาช่วยลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์ และทำให้กระบวนการผลิตสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องแม้ในสภาวะที่มีข้อจำกัดด้านแรงงาน
    2) ต้นทุนการผลิตและของเสียจะลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากข้อมูลจากสายการผลิตสามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อควบคุมคุณภาพได้อย่างแม่นยำ และสามารถตรวจพบปัญหาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ลดการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง
    3) โรงงานจะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะ Smart Factory มีระบบที่สามารถปรับการผลิตตามสั่ง (Mass Customization) ได้โดยไม่ต้องหยุดสายการผลิตนานเหมือนในอดีต
    4) โรงงานที่นำระบบ Smart Factory เข้ามาใช้จะสามารถยกระดับมาตรฐานการผลิตให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการขับเคลื่อนประเทศด้านอุตสาหกรรม
    5) ลดความต้องการแรงงานในบางส่วน แต่จะสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในตำแหน่งงานที่ต้องการทักษะขั้นสูง เช่น วิศวกรระบบอัตโนมัติ นักวิเคราะห์ข้อมูล และผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ซึ่งจะช่วยยกระดับทักษะแรงงานไทยให้มีมูลค่าเพิ่มในตลาดแรงงานโลก

    สรุป
    Smart Factory เป็นการนำเครื่องจักรหรือเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้งาน และสร้างการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโรงงานทั้งหมดให้กลายเป็นระบบอัจฉริยะที่สามารถวิเคราะห์ ตัดสินใจ และปรับตัวได้เองแบบอัตโนมัติ การเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้โรงงานในประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น รองรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลก และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปสู่อนาคตอย่างยั่งยืน

  3. Smart Factory หรือ “โรงงานอัจฉริยะ” คือการพัฒนาโรงงานให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยืดหยุ่น และเชื่อมโยงทุกส่วนเข้าด้วยกันด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น ระบบอัตโนมัติ (Automation), อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT), ปัญญาประดิษฐ์ (AI), การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) และระบบ Cloud

    โรงงานอัจฉริยะจะสามารถตรวจสอบ ตัดสินใจ และตอบสนองต่อปัญหาหรือความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้แบบเรียลไทม์โดยไม่ต้องรอการควบคุมจากมนุษย์ตลอดเวลา ซึ่งช่วยลดความผิดพลาด เพิ่มความเร็ว และเพิ่มคุณภาพในการผลิตอย่างต่อเนื่อง

    การนำแนวคิด Smart Factory เข้ามาใช้ในประเทศไทย คือ “การเปลี่ยนแปลงทั้งระบบ” ที่จะส่งผลกระทบในหลายมิติ ทั้งด้านการผลิต บุคลากร การบริหารจัดการ และความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

    1. เปลี่ยนจาก “การผลิตแบบเดิม” เป็น “การผลิตอัจฉริยะ”
    โรงงานไทยจำนวนมากยังใช้แรงงานจำนวนมาก และมีการควบคุมกระบวนการแบบแมนนวล การใช้ Smart Factory จะทำให้สามารถควบคุมกระบวนการผลิตได้แบบเรียลไทม์เครื่องจักรสามารถปรับเปลี่ยนการทำงานอัตโนมัติตามคำสั่งหรือสถานการณ์ ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมหาศาล

    2. เปลี่ยนบทบาทของแรงงาน
    จากที่เคยใช้แรงงานในการผลิตโดยตรง จะเปลี่ยนมาเป็น “แรงงานที่มีทักษะด้านเทคโนโลยี” เช่น การควบคุมระบบอัตโนมัติ การวิเคราะห์ข้อมูล หรือดูแลระบบ IT ในโรงงาน ซึ่งจะช่วยยกระดับศักยภาพแรงงานไทย และลดการพึ่งพาแรงงานไร้ฝีมือ

    3. เปลี่ยนวิธีการวางแผนและตัดสินใจ
    Smart Factory จะทำให้ข้อมูลการผลิตและสต็อกสามารถเข้าถึงได้แบบ Real-time ทำให้ผู้บริหารสามารถวางแผนการผลิต การจัดซื้อ การจัดส่ง หรือแม้แต่การตั้งราคาขายได้แม่นยำและคล่องตัวขึ้นกว่าที่เคยเป็น

    4. ยกระดับมาตรฐานคุณภาพและความสามารถในการส่งออก
    Smart Factory ทำให้การควบคุมคุณภาพเป็นไปอย่างแม่นยำ มีระบบตรวจสอบย้อนกลับ (traceability) ทุกขั้นตอน ซึ่งช่วยให้สินค้ามีมาตรฐานสากลและสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้

    5. รองรับอนาคตของอุตสาหกรรม
    ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสำคัญ เช่น แรงงานลดลงจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ค่าแรงที่สูงขึ้น และการแข่งขันจากต่างประเทศ การเปลี่ยนสู่ Smart Factory คือการวางรากฐานระยะยาวเพื่อให้อุตสาหกรรมของไทยสามารถยืนอยู่ได้ในยุคดิจิทัลและอุตสาหกรรม 4.0

    Smart Factory คือก้าวต่อไปของอุตสาหกรรม ที่ใช้เทคโนโลยีมาเชื่อมโยง กระบวนการ ข้อมูล และคนเข้าด้วยกัน เพื่อให้การผลิตฉลาดขึ้น ยืดหยุ่นขึ้น มีประสิทธิภาพสูงสุด และในบริบทประเทศไทย Smart Factory จะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่เปลี่ยนโรงงานธรรมดาให้กลายเป็นโรงงานที่แข่งขันในเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน

  4. Smart Factory คืออะไร
    Smart Factory คือแนวคิดการผลิตสมัยใหม่ที่ผสานรวมเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับระบบอัตโนมัติขั้นสูง โดยมีจุดมุ่งหมายหลักในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดของเสีย เพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน และสร้างระบบที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลและตัดสินใจได้เองแบบเรียลไทม์ ซึ่งทำให้กระบวนการผลิตสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
    โดยมีองค์ประกอบสำคัญ เช่น Internet of Things (IoT) ที่เชื่อมต่อเครื่องจักรกับเครือข่ายเพื่อสื่อสารและรับส่งข้อมูลกันได้แบบอัตโนมัติ Big Data และการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งช่วยให้โรงงานเข้าใจภาพรวมของการผลิต ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning ที่ทำให้ระบบเรียนรู้และพัฒนาตัวเองได้จากข้อมูลที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (Automation & Robotics) ก็เข้ามาช่วยลดการพึ่งพาแรงงานมนุษย์ และสุดท้ายคือ ระบบไซเบอร์-กายภาพ (Cyber-Physical Systems) ซึ่งผสานโลกดิจิทัลกับโลกจริง ทำให้เครื่องจักรสามารถโต้ตอบกับสภาพแวดล้อมและปรับเปลี่ยนการทำงานได้อย่างชาญฉลาด

    ทำไม Smart Factory จะเปลี่ยนการทำงานของโรงงานในประเทศไทย?
    1. เพิ่มประสิทธิภาพและความเร็วในการผลิต
    โรงงานที่ใช้ระบบอัจฉริยะสามารถผลิตได้มากขึ้นด้วยต้นทุนน้อยลง ลดเวลาในการผลิต และลดของเสียจากความผิดพลาด
    2. ลดการพึ่งพาแรงงานคน
    ในยุคที่แรงงานขาดแคลนหรือค่าแรงสูงขึ้น Smart Factory จะช่วยลดปัญหาเหล่านี้ด้วยระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์
    3. ปรับตัวได้เร็วกับความต้องการของตลาด
    ระบบที่มีความยืดหยุ่นสูงสามารถปรับเปลี่ยนการผลิตตามความต้องการของลูกค้าได้เร็วขึ้น เช่น การผลิตแบบ Mass Customization
    4. ยกระดับมาตรฐานและคุณภาพการผลิต
    ระบบดิจิทัลช่วยควบคุมคุณภาพอย่างแม่นยำและตรวจสอบย้อนกลับได้ (Traceability)
    5. เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจดิจิทัลและ Industry 4.0
    Smart Factory เป็นหัวใจของการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งเป็นแนวนโยบายที่รัฐบาลไทยส่งเสริมในยุทธศาสตร์ “Thailand 4.0”

    Smart Factory จะเปลี่ยนโรงงานในไทย ให้ทำงานแม่นยำ รวดเร็ว และยืดหยุ่นมากขึ้น ด้วยการใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีช่วยตัดสินใจแบบเรียลไทม์ ลดความผิดพลาด และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล

  5. Smart Factory หรือ “โรงงานอัจฉริยะ” คือแนวคิดของโรงงานยุคใหม่ภายใต้บริบทของการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (Industry 4.0)Smart Factory ไม่ใช่แค่การใช้เครื่องจักรอัตโนมัติเท่านั้น แต่เป็นการเชื่อมโยงระบบทุกอย่าง ตั้งแต่เครื่องจักร พนักงาน ซัพพลายเออร์ ไปจนถึงลูกค้า ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน โดยมี “ข้อมูล” เป็นศูนย์กลาง ในการตัดสินใจและปรับปรุงกระบวนการต่าง ๆ

    เทคโนโลยีหลักที่ขับเคลื่อน Smart Factory
    1. Internet of Things (IoT):
    เป็นเครือข่ายของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อกันผ่านอินเทอร์เน็ต เช่น เซนเซอร์ เครื่องจักร หรืออุปกรณ์ผลิต ที่สามารถส่งข้อมูลสถานะและการทำงานไปยังระบบกลางแบบเรียลไทม์
    2. Artificial Intelligence (AI) และ Machine Learning (ML):
    ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เพื่อช่วยในการตัดสินใจอัตโนมัติ เช่น การคาดการณ์ปัญหาในสายการผลิต หรือการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการต่าง ๆ
    3. Big Data Analytics:
    การรวบรวมข้อมูลจำนวนมากจากหลากหลายแหล่งในโรงงาน แล้วนำมาวิเคราะห์ เพื่อปรับปรุงกระบวนการ ผลิตสินค้าให้ตรงกับความต้องการ และลดต้นทุน
    4. Cyber-Physical Systems (CPS):
    ระบบที่ผสานโลกจริงกับโลกเสมือน เช่น ระบบควบคุมเครื่องจักรผ่านซอฟต์แวร์ที่สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ในโรงงานจริงได้ทันที
    5. Cloud Computing:
    การจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลแบบออนไลน์ ซึ่งทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลจากทุกที่ ทุกเวลา และสามารถแบ่งปันข้อมูลระหว่างระบบได้อย่างรวดเร็ว
    6.Robotics & Automation:
    หุ่นยนต์สามารถทำงานแทนมนุษย์ในกระบวนการที่มีความเสี่ยงหรือซับซ้อน โดยทำงานตลอด 24 ชั่วโมงแบบไม่หยุดพัก

    องค์ประกอบสำคัญของ Smart Factory
    1.การเชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์ (Real-Time Connectivity):
    ทุกอุปกรณ์และระบบสามารถสื่อสารกันได้ทันที เช่น เครื่องจักรแจ้งเตือนการชำรุดโดยอัตโนมัติ หรือระบบการผลิตปรับเปลี่ยนตามคำสั่งซื้อใหม่ทันทีที่ได้รับ
    2.ระบบวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูล (Data Analytics):
    ช่วยให้ผู้บริหารสามารถมองเห็นภาพรวมของการผลิต ปัญหาที่เกิดขึ้น และแนวทางการปรับปรุงอย่างแม่นยำ
    3.ความสามารถในการปรับตัว (Agility & Flexibility):
    โรงงานสามารถผลิตสินค้าในปริมาณน้อยหลากหลายแบบตามความต้องการลูกค้าได้ทันที โดยไม่ต้องเปลี่ยนสายการผลิตใหม่ทั้งหมด
    4.การตัดสินใจอัตโนมัติ (Autonomous Decision-Making):
    เครื่องจักรและระบบควบคุมสามารถประเมินสถานการณ์และตัดสินใจได้เอง เช่น หยุดสายการผลิตเมื่อตรวจพบข้อผิดพลาด

    ผลกระทบของ Smart Factory ต่ออุตสาหกรรมไทย

    1. เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
    1.1โรงงานไทยจะสามารถแข่งขันในตลาดระดับโลกได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในตลาดที่ต้องการสินค้าคุณภาพสูงและรวดเร็ว เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และอาหาร
    1.2การผลิตแบบ Mass Customization จะทำให้ตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้าได้ดีขึ้น

    2. ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในระยะยาว
    2.1ลดต้นทุนแรงงานโดยใช้ระบบอัตโนมัติ
    2.2ลดการสูญเสียทรัพยากรและวัสดุจากการผลิตที่ไม่มีประสิทธิภาพ
    2.3ลดเวลาในการผลิตและระยะเวลาการส่งมอบ

    3. เปลี่ยนบทบาทของแรงงาน
    3.1จากเดิมที่เน้นแรงงานกลายเป็นเน้น “แรงงานที่มีทักษะด้านเทคโนโลยี”
    3.2ต้องมีการฝึกอบรมพนักงานให้สามารถทำงานร่วมกับระบบอัตโนมัติได้ เช่น การควบคุมหุ่นยนต์ การวิเคราะห์ข้อมูล การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์

    4. สนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน
    4.1การใช้พลังงานและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
    4.2ระบบสามารถตรวจจับการใช้พลังงานที่เกินปกติ หรือของเสียที่ผิดปกติได้ทันที ทำให้สามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว

    5. กระตุ้นนโยบายรัฐและการลงทุน
    5.1Smart Factory สอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 ที่เน้นพัฒนาอุตสาหกรรมบนฐานเทคโนโลยีขั้นสูงและนวัตกรรม
    5.2รัฐบาลมีแนวโน้มจะสนับสนุนโรงงานที่เปลี่ยนผ่านไปสู่ Smart Factory เช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี หรือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ

    สรุปภาพรวม
    Smart Factory ถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมไทยสู่การเปลี่ยนผ่านในยุคดิจิทัล การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มิได้เป็นเพียงการลงทุนด้านเทคโนโลยีเท่านั้น หากแต่ยังเป็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ใน “ทุนมนุษย์” และ “โครงสร้างพื้นฐาน” เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการผลิต ตอบสนองต่อพลวัตของตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว

Leave a Reply